เทศน์พระ

อับจน

๓ พ.ค. ๒๕๕๘

 

อับจน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งสติไว้ อากาศมันร้อนนะ อากาศมันร้อน เวลาเราจะเกิดมาเห็นไหม อยู่ในท้องแม่ ๙ เดือน เวลาพ่อแม่กินพริกกินเผ็ดเข้าไปนี่มันเดือดร้อนมาก แต่เดือดร้อนอยู่ในท้องนี่ เวลาเดือดร้อนเห็นไหม มันมีแต่ความร้อน เพราะพ่อแม่กินอาหารกินตามใจปาก เสร็จแล้วลูกอยู่ในครรภ์มันได้รับผลกระทบ แต่ได้รับผลกระทบมันอยู่ในท้องไง อยู่ในท้องต้องทนเห็นไหม ต้องทนรับสภาพนั้นไป

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเห็นไหม เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วเราเห็นภัยในวัฏสงสาร แล้วได้มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระวันนี้วันลงอุโบสถ อุโบสถเราต้องทำสังฆกรรม อากาศมันจะร้อนยังไงให้มันร้อนอยู่ข้างนอก ถ้าจิตใจมันรับรู้ได้ จิตใจของคนนะไม่ใช่คนตาย คนเป็นมันมีความรับรู้ เย็นร้อนอ่อนแข็งมันรับรู้ได้ อากาศเย็นก็รับรู้ว่าอากาศเย็นได้ อากาศร้อนก็รู้ว่าอากาศร้อนได้ แต่คนถ้ามีสติปัญญาเขาก็หาหลบ หลบภัยของเขา หลบภัยหนาวเห็นไหม เขาก็หาเครื่องอบอุ่นมาเพื่อป้องกันภัยหนาว เวลาเขาร้อนเขาก็หาที่พักผ่อนของเขา

แต่ของเราเราทำสังฆกรรม เราทำอุโบสถ ในเมื่ออากาศมันร้อน อากาศมันร้อนก็คืออากาศไง แต่หัวใจมันเป็นปรกติ หัวใจมันยอมรับ แล้วยอมรับสภาพนั้นเพราะมันเป็นฤดูกาล เวลาอากาศหนาว เวลาอากาศดีเราก็พอใจ เวลาอากาศมันร้อนเห็นไหม เราก็ไม่พอใจ ความว่าพอใจและไม่พอใจนี่ตัณหาความทะยานอยาก แล้วตัณหาความทะยานในหัวใจของใครมันมีของมันเพราะไม่ใช่คนตาย

คนเป็นมีความรู้สึก พระอรหันต์ก็มีความรู้สึก มีความรู้สึกทั้งนั้นล่ะ แต่มีความรู้สึกแล้วเข้าใจมันเห็นไหม เข้าใจมันตามสภาพมัน ยิ่งเข้าใจมันแล้วยิ่งสังเวชไง วิหารธรรมไง นี่การเกิดการตายจะมาเจอสภาพแบบนี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ความเร่าร้อนอย่างนี้มันจะแผดเผาไปต่อเนื่องไปๆ ตลอดไป

มันยิ่งมีสติมีปัญญามันยิ่งเห็นโทษในการเกิดการแก่การเจ็บการตายไง นี่เวลาอากาศมันร้อนมันร้อนอยู่แล้ว แล้วมันจะร้อนอย่างนี้ต่อๆ ไปด้วย ภูมิอากาศมันจะเปลี่ยนแปลงตลอดไปด้วย ถ้าคนยังมีชีวิตต่อไปข้างหน้ามันจะมีสภาวะอากาศที่รุนแรงกว่านี้ ถ้ารุนแรงกว่านี้เห็นไหม มันยิ่งสังเวชไง ถ้ามันสังเวชแล้วมันไม่ทำให้เราเดือดร้อนจนเกินไปนัก

แต่ถ้ามันไม่มีสติปัญญามันตีโพยตีพายไง เวลาตีโพยตีพายไปนี่ มันมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้น ดูทางโลกเขาเห็นไหม ทำมาหากินเวลาตกทุกข์ได้ยากเขาเรียกว่าคนอับจน เวลามันอับจนขึ้นมานี่มันทุกข์มันยากนะ เวลาอับจนขึ้นมานี่มันคิดแต่ทำลายตัวเองเลยล่ะ เพราะถือว่าตัวเรามันอับจน มันไม่มีทางออก

นี่ของเรามันมีความอับจนไหม ถ้าไม่มีความอับจนเห็นไหม อับจนทางโลก ทางโลกถ้ามีสติปัญญาเขาหาอยู่หากินทางโลกของเขา เราก็มีสถานะทางสังคมที่เราพอหาอยู่หากินของเราได้ แต่เราเสียสละสิ่งนั้นมา สมบัติสาธารณะทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน โดยกฎหมายนี่ความมั่นคงของมนุษย์ มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายนั้น

เราเสียสละสิ่งนั้นมา มาบวชเป็นพระ เราอับจนไหม? เราไม่ได้อับจนทั้งนั้น เราเปิดช่องทาง เปิดหาทางออก ทางออกของเราเห็นไหม ทางออกของเราคือบวชมาเป็นเพศนักบวช เป็นผู้ถือพรหมจรรย์ ถ้าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์เพื่อใคร? พรหมจรรย์เพื่อเรา เพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้ที่มันทุกข์มันยาก หัวใจดวงนี้เห็นไหม พรหมจรรย์เพื่อหัวใจดวงนี้ ไม่ใช่พรหมจรรย์เพื่อใคร

เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ รักษาใจของเรา ไม่ใช่รักษาใจว่าให้ใครยอมรับหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมานี่ เทวดา อินทร์ พรหมเขารับรู้ของเขาได้ ถ้ารับรู้ของเขาได้เห็นไหม เขาชื่นชม เขาชื่นชมหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้มีมรรคญาณ มรรคญาณคือปัญญา ถ้ามีปัญญามีทางรู้แจ้ง เอาหัวใจดวงนี้ให้เป็นอิสรภาพได้ นี่เทวดา อินทร์ พรหมจะมาอนุโมทนากับหัวใจดวงนี้

มันอับจนไหม มันไม่อับจนหรอก มันอับจนเพราะกิเลสมันปิดหูปิดตา มันถึงอับจนไง แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมานี่มันเปิดช่องให้เลยล่ะ เราอุตส่าห์มาบวชนะ บวชเป็นพระผู้ประเสริฐ ประเสริฐตรงไหน ผู้ประเสริฐเห็นไหม นี่สมณสารูปการเหยียด การคู้ การเคลื่อนไหว เราต้องมีสติสัมปชัญญะของเรา ถ้ามีสติสัมปชัญญะนะ ฝึกให้เป็นนิสัย ถ้าเป็นนิสัยขึ้นมาแล้วนี่เห็นไหม มันสามารถที่จะรักษาดูแลใจของเราได้

เวลาคนที่เขาฉลาด เวลาฝนตกเห็นไหม น้ำใหม่เขาเอาไซเอาข้องไปดักปลา ปลามันได้กลิ่นน้ำใหม่มันพยายามดิ้นรนไปหาน้ำใหม่ของมันเห็นไหม น้ำใหม่ มันคิดว่ามันมีโอกาสของมัน มันไปเข้าข้องเข้าไซของชาวบ้านหมดเลย

หัวใจของเราก็เหมือนกัน ที่มันมีสติมีปัญญาขึ้นมานี่ รักษาใจของเราไม่ให้มันดิ้นรนของมันออกไปไง ถ้ามันมีสติปัญญา มันมีสติปัญญารักษาหัวใจ รักษาหัวใจ การเหยียดการคู้เห็นไหม การเคลื่อนไหวให้มีสติปัญญาของเรา รักษาหัวใจของเรา มันจะฝืนกิเลส ฝืนความพอใจของตัว ฝืนแน่นอน เพราะกิเลสมันอยู่กับหัวใจดวงนี้ เพราะอวิชชาพาเกิดมานี่ไง

แล้วเรานี่เรามีศรัทธาความเชื่อ เรามีอำนาจวาสนา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีศรัทธามีความเชื่อ เราสละเพศของฆราวาส เราสละเพศของฆราวาสนะ เรามาถือเพศนักบวชนะ ถ้าเราถือเพศนักบวช นักบวชเห็นไหม เป็นพระผู้ประเสริฐที่จะเข้าเผชิญกับความจริงในหัวใจของเรา

ทางโลกเขาเวลาเขาพร่ำเพ้อพร่ำบ่นกันไป ประพฤติปฏิบัติขึ้นไปพอเป็นพิธีพอบรรเทาทุกข์เท่านั้น เขาพร่ำเพ้อกันไป ก็นั่นมันเรื่องของฆราวาสเขา เราเป็นนักบวช เราเป็นนักพรต เราจะมาพร่ำเพ้ออยู่อย่างนั้นไหม เราจะเอาความจริง เราจะเอาความพิร่ำพิไรต่อกัน มีแต่กระแสสังคมไง มารยาทสังคม คอยช่วยเหลือเจือจานกัน คอยเยี่ยมเยียนกัน คอยกลัวจะทุกข์จะยาก จะคอยดูแลกัน เอาอย่างนั้นเหรอ? นั่นมันเรื่องของโลก โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์เห็นไหม ก็มีความคิดว่าจะช่วยเหลือเจือจานกันไง แต่ของเรามันช่วยเหลือเจือจานกัน นี่ดูสิ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเวลาไปหาหมอเห็นไหม เขาให้น้ำเกลือเขาต้องแทงเข้าไปในเนื้อนะ ฉีดยาเข้าไปเอาเข็มทิ่มเข้าไปในก้นเลยนะ บีบเข้าไป

แล้วหัวใจมันอยู่ไหน? ศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดจากตรงไหน? ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษามาแล้ว ศึกษามาแล้วความจริงมันมาจากไหนล่ะ มันไปอับจนอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มันไม่เปิดช่องให้หัวใจได้ก้าวเดินไง ถ้ามันเปิดช่องให้หัวใจได้ก้าวเดินนะ มันไม่อับจนนะ ไม่อับจนมันมีช่องทางไป ถ้ามีช่องทางไปเห็นไหม ในทางจงกรม ในทางที่นั่งสมาธิภาวนา ในโคนไม้นั้น มันเป็นที่รื่นเริงไง นักปฏิบัติขึ้นมานี่มันเจอที่สงัดวิเวกมันรื่นเริงนะ เราหาชัยภูมิอย่างนี้ เราบวชมานี่ๆ เราหาครูบาอาจารย์ที่ดี เราหาชัยภูมิอย่างนี้เพื่อจะค้นคว้าสัจจะความจริงในใจของเรา เราหาชัยภูมิอย่างนี้

สัตว์ป่า! สัตว์ป่ามันอยู่ในป่ามันสงบสงัดกว่านี้ ที่ที่สงัดวิเวก น้ำตกสวยๆ งามๆ ที่อยู่ของสัตว์ป่ามัน สัตว์ป่ามันเป็นสัตว์ป่า มันเป็นสัตว์ มันไม่ใช่มนุษย์ มันเป็นสัตว์มันก็อยู่ตามสภาพของมัน มันเกิดสภาวะแบบนั้น มันเป็นสัตว์เห็นไหม แล้วสัตว์กินเนื้อ สัตว์กินพืช สัตว์กินพืชเห็นไหม มันดำรงชีวิตของมัน มันก็ต้องระวังภัยของมัน จะกินอิ่มท้องแม้แต่มื้อหนึ่งก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตนะ พลั้งเผลอขึ้นไปนี่ก็ชีวิตนี่แลกไปเลย สัตว์กินเนื้อ! สัตว์กินเนื้อนี่ถ้าสัตว์กินเนื้อสภาพภูมิอากาศไม่ดี มันไม่มีสัตว์ให้มันล่านี่มันไม่มีอาหารนะ สัตว์กินเนื้อมันก็ทุกข์ มันต้องหาอาหารของมัน

สัตว์ป่ามันอยู่ในป่านี่เห็นไหม ดูสิ ชัยภูมิที่ดี ชัยภูมิที่น่ารื่นรมย์ สัตว์ป่ามันก็คือสัตว์ป่า มันไม่มีโอกาสไง มันไม่มีโอกาส มันเกิดเป็นสัตว์ พอเกิดเป็นสัตว์ ถ้ามันเป็นสัตว์ที่ดีเห็นไหม ดูมันทำคุณงามความดีของมัน มันรักษาหมู่คณะของมัน มันก็เป็นสัตว์มันก็ทำคุณงามความดีของมันได้ แต่ความดีของสัตว์ไง

แต่เราสัตว์ประเสริฐ เรานักรบ เราจะหาคุณความดีของเรา ความดีของเราเห็นไหม เราหาที่สงบสงัด นี่เป็นชัยภูมิที่น่ารื่นรมย์ ถ้ารื่นรมย์นะ เรามาเพื่อค้นหาหัวใจของเรา เราเดินตามแนวทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางแนวทางนี้ไว้ รุกฺขมูลเสนาสนํ เป็นที่รุกฺขมูล เป็นที่สงบ เป็นที่สงัด เป็นที่แสวงหา เรามาเพื่อแสวงหา เราเป็นมนุษย์ เราเป็นนักบวช เราเป็นนักพรต เราเป็นพระ เรามาด้วยสติปัญญา เราไม่ได้มาแบบสัตว์

สัตว์ป่านี่มันไป มันดั้นด้นมันไป ดูสิ ในสมัยปัจจุบันนี้เขาเอาสัตว์ป่ามาเลี้ยงมาฝึกฝน พยายามไม่ให้มนุษย์มาใกล้ชิดมันเพื่อจะปล่อยมันคืนสู่ป่า เวลาจะป้อนจะให้อาหารมันก็ต้องปลอมตัวเป็นแบบมัน เอาเครื่องนุ่งห่มมาปลอมตัวเป็นแบบสัตว์ แล้วเอาอาหารไปให้สัตว์หลอก พยายามสั่งสอนมัน ให้มันรักษาชีวิตของมัน ให้มันเห็นภัยของนักล่า ให้มันรู้จักรักษาชีวิต รู้จักหาอาหาร แล้วเอามันกลับไปปล่อยคืนสู่ป่าเห็นไหม นี่ผู้ที่นักอนุรักษ์เขาก็ทำ เขาทำกันอย่างนั้น เขาต้องการให้สัตว์ป่าไม่ให้มันสูญพันธุ์ไง ให้มันอยู่ดำรงชีวิตของสัตว์ป่าไง เพื่อเป็นเผ่าพันธุ์ พันธุกรรมไง

นี่เรื่องของจิตใจผู้ที่ประเสริฐ จิตใจผู้ที่เป็นธรรมที่เขาเห็นแก่อนุชนรุ่นหลัง สัตว์ป่าเขายังถนอมเขายังรักษามันดูแลมันเห็นไหม เพื่อให้มันเป็นความสมดุลของภูมิอากาศ ของสภาวะแวดล้อม สัตว์ป่าเห็นไหม สัตว์ป่าเขายังดูแลรักษา แล้วเวลาเราเป็นมนุษย์ เราเป็นมนุษย์นะ เราเห็นภัยในวัฏสงสารเรามาบวชพระนะ เรามาบวชพระแล้ว อย่าให้กิเลสมันปิดจนอับจนไง อับจนปัญญา อับจนการแสวงหา

ทางโลกเขาอับจนนะ เขาไม่มีทางออกนะ เขายังมีความทุกข์ความยากของเขา ถ้ามีใครช่วยเหลือเจือจานของเขานี่ เขาจะชื่นชมของเขามาก เขาจะระลึกถึงบุญคุณของคนคนนั้นที่เขาให้โอกาสเรา เขาช่วยเหลือเจือจานเราให้พ้นจากวิกฤติอันนั้นมาได้

แต่ของเราเป็นมนุษย์ เราเป็นมนุษย์เห็นไหม เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ มันก็เป็นแค่ทฤษฏีเป็นแค่ตำรา แล้วเวลาจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็มีแนวทางมหาศาลเลย ใครๆ ก็ชักนำของเขาไป แล้วทำไมเราจะต้องไปเชื่อเขาด้วยล่ะ พระไตรปิฎกอ่านไม่เป็นใช่ไหม พระไตรปิฎกเราก็อ่านเป็น ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านก็ต้องมีแนวทางของท่านมา เวลากิเลสมันปิดหูปิดตามันอับจนขึ้นมามันทุกข์มันยาก

ทางโลกเขาอับจนเขายังมีความทุกข์มากขนาดนั้น เวลากิเลสมันปิดหูปิดตานะ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เวลาจิตมันไม่สงบขึ้นมา เวลากิเลสมันต่อต้านขึ้นมานะ อยู่ในป่าในเขานี่มันมีแต่ความทุกข์ระทมใจนะ ทำไมโลกทั้งโลกเขามีความสุขกันทั้งนั้นเลย ทำไมเรามันต้องทุกข์ยากขนาดนี้ ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้

เวลากิเลสมันให้ค่าให้ผลขึ้นมานี่ มันจะปิดล้อมหัวใจให้อับจนกับมันไง เวลากิเลสมันปิดล้อมขึ้นมานี่ มันมีความรู้สึกนึกคิด มันมีความน้อยเนื้อต่ำใจเห็นไหม เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เขาก็ทำคุณงามความดีกัน เขาได้บุญกุศลได้คุณงามความดีกัน

เราเป็นนักรบ เราเป็นพระ เราอุตส่าห์บวชมา เราอุตส่าห์มีบริขารเข้ามาสู่ชัยภูมิแห่งการประพฤติปฏิบัติ ทำไมเวลาปฏิบัติแล้วอย่างนี้เราทำดีหรือเปล่า เราก็เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำตามคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย ทั้งนั้นเลย ร้อยทั้งร้อยเลย พระพุทธเจ้าสอนยังไงทำอย่างนั้นหมดเลย แล้วทำไมเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ล่ะ ทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้

เราก็เรียกร้องตีโพยตีพายจะเอาผลบุญจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเอามรรคจะเอาผลจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องประทานมรรคประทานผลมาให้เราเลย เพราะเราทำได้สมบูรณ์แบบตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนหมดแล้ว

นี่ไง นี่เขาเรียกว่าทางโลก เถรส่องบาตร เห็นเขาส่องบาตรก็ส่องตามเขา เขาส่องบาตรเขามีความหมาย เขาส่องของเขาเพื่อหาความชำรุดของบาตรนั้น เราส่องทำไม? บาตรเราจะชำรุดเหรอ บาตรสแตนเลสใช้จนตายมันก็ไม่ชำรุดหรอก มันไม่มีอะไรชำรุดซักอย่างหนึ่ง เห็นเขาส่องก็ส่องตามเขา

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนก็ทำตามนั้น กิเลสมันทำตามไง ทำตามเพราะอะไร? เพราะเป็นวัฒนธรรมประเพณี วัฒนธรรมประเพณีเห็นไหม ประเพณีของพระอริยเจ้า เราก็ทำตามประเพณีนั้น ประเพณีก็กิเลสมันก็สอดเข้ามาไง นี่อับจนกันไปหมด ปฏิบัติก็ล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น

ถ้าเอาความจริงขึ้นมาเห็นไหม เราต้องตั้งสติของเราขึ้นมา ใครที่มีอำนาจวาสนา ใครที่สร้างบุญกุศลมามันมีแต่ความคิดบวกคิดดี คนที่สร้างบาปอกุศลมานี่คิดสิ่งใดก็คิดแต่น้อยเนื้อต่ำใจ คิดแต่ทำลายตัวเอง ทำทุกอย่างตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก บอกเสร็จแล้วก็จะเอามรรคเอาผลตามนั้น เอามรรคเอาผลตามนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่า “เราได้สัญญากับเธอเหรอ ว่าบวชแล้วจะได้มรรคได้ผล”

ในสมัยพุทธกาลเยอะมาก เวลาพระปฏิบัติแล้วอยากให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพาไปเที่ยวนรกสวรรค์ ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามรรคเอาผลมาให้เห็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยว่า “เราสัญญากับเธอไว้เหรอ ว่าบวชแล้วเราจะเอามรรคเอาผลมาโชว์ให้เธอดู”

“ ไม่ได้สัญญา ไม่ได้สัญญา”

บอก “ไม่งั้นจะสึก”

“สึกก็สึกไป” นี่เวลาพญามารเวลากิเลสมันร้ายกาจขนาดนั้น มันจะเอามรรคเอาผล เอาตามความเรียกร้อง

ดูพระนันทะเป็นลูกผู้น้องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาบวชแล้วเห็นไหม นันทะ เวลาแต่งงานมาเอาบาตรมาส่ง “นันทะ เธอจะบวชเหรอ” ด้วยว่าเป็นญาติผู้พี่ ด้วยความจำนน “ครับ” บอกว่าจะบวช พึ่งแต่งงานมาจะบวชอีกแล้ว พอบวชมาแล้วก็คิดถึงสิ พึ่งแต่งงาน คิดถึงว่า โอ๋ ที่บ้านมันจะรอขนาดไหนเนาะ โอ้ พึ่งรดน้ำสังข์มาเดี๋ยวนี้เลย ยังไม่ได้ หลับนอนร่วมกันเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชเลย ใจมันก็ติดพัน ใจมันก็คิดคำนึงถึงตลอดเวลา “นันทะ เธอจำภาพนี้ให้ดีนะ” แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจับหัตถ์ จับมือของพระนันทะเหาะขึ้นไปบนสวรรค์ ไปดูนางฟ้า

“สวยกว่าภรรยาเธอไหม”

“โอ ภรรยาเรายังกับลิง นี้สวยกว่าเยอะมากเลย”

“เธออยากได้ไหม เธออยากได้นางฟ้าไหม”

“อยากได้ อยากได้”

“อยากได้ให้กำหนดพุทโธ ให้กำหนดพุทโธ”

พยายามกำหนดพุทโธๆ เพื่ออยากได้นางฟ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอุบายเห็นไหม คนที่มีวาสนา คนที่มีอำนาจวาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนขึ้นมานี่ก็ต้องสั่งสอนอย่างนี้ ให้กำหนดพุทโธๆ พอจิตมันสงบลงมาสอนให้วิปัสสนา พอวิปัสสนาไปๆ มันชำระมันล้างไป ล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากออกหมด

ฉะนั้น เวลากำหนดพุทโธๆ เวลาพระนี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำสิ่งใดทำต่อหน้า พระทั้งหมดก็เห็น ก็ไปถามพระนันทะ “พระนันทะ พุทโธจะเอานางฟ้า” นี่พูดเสียดสี พูดเยาะเย้ยถากถาง

สุดท้ายแล้วเวลาพระนันทะพิจารณาของท่านไป พอจิตสงบแล้วพิจารณาไป คนมีอำนาจวาสนาเห็นไหม คนที่เรียกร้องให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงให้เห็น องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราได้สัญญากับเธอไว้เหรอ เราได้สัญญากับเธอไว้หรือไม่” ไม่ได้สัญญา บวชด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อ บวชด้วยศรัทธาความเชื่อก็ต้องพยายามขวนขวาย ทำให้เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาสิ

แต่เวลาพระนันทะ พระนันทะไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย พระนันทะนี่คิดถึงอดีตภรรยาเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจับมือเหาะไปดูนางฟ้าเลย แล้วให้เป็นเป้าหมาย อธิษฐานบารมีเป้าหมายอยากเป็นอยากได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้เป็นอุบาย อุบายให้กำหนดพุทโธๆ เพื่อจะไปเอานางฟ้านั้น

แต่เวลาจิตมันสงบแล้วมันเกิดมรรคญาณ มันไม่ใช่ไปเอานางฟ้านั้น มันเกิดอริยสัจ มันเกิดสัจจะ มันเกิดความจริง มันเกิดศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญานี่เป็นธรรมจักรเห็นไหม เวลาธรรมจักรมันเข้ามาทำลายอวิชชา ทำลายความอยากได้นางฟ้า ทำลายตัวอยากได้นางฟ้า อยากเป็น อยากได้ อยากดี ความอยากนั้นทำลาย ความอยากคือสมุทัย ความอยากคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลามันสำรอกมันคายของมันออก นี่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย

แล้วทีนี้พระก็ไปถามพระนันทะว่า “พุทโธนี่กำหนดพุทโธจะไปหานางฟ้าไหม จะพุทโธไหม” ยังมาพูดล้อเล่นอยู่ พระนันทะบอกว่า “เราไม่ต้องการปรารถนาใดๆ ทั้งสิ้น เราหมดความปรารถนาแล้ว” โอ๊ย พระพวกนั้นทึ่งนะ อึ้งนะ นี่กล่าวตู่เลย บอกว่าพระนันทะปฏิญาณตนว่าไม่มีตัณหาความทะยานอยาก พระนันทะนี่อวดอุตตริมนุสสธรรม ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณรู้หมดแล้ว ฉะนั้น ถึงเวลานิมนต์พระนันทะมาทั้งหมดแล้วบอกว่า “นันทะเขาไปเที่ยวสวรรค์ เขาเห็นนางฟ้านั้นเป็นอุบาย แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสั่งสอนขึ้นมา พระนันทะเวลาจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ได้สำรอกได้คายกิเลสออกหมดแล้ว พระนันทะเป็นพระอรหันต์”

พระพวกนั้นหน้าแตกหมดเลย หน้าแตก! ก็ด้วยวุฒิภาวะอย่างนั้นเห็นไหม มันอับจนด้วยปัญญาของตัว ตัวเองอับจนด้วยปัญญาก็ไปโทษคนอื่น ไปว่าคนอื่นไม่มีปัญญาเหมือนตน แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบีบคั้นในหัวใจของตน เวลาอับจนด้วยปัญญา อับจนด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็เอาหัวไปฟาดภูเขา มันทำสิ่งใดไม่ได้เป็นประโยชน์ขึ้นมาเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการสั่งสอนขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์กับนักพรต เป็นประโยชน์กับนักบวช เวลาปัญญามันไม่อับจน มันมีช่องทางของมันออกไปเห็นไหม มันใช้อุบายวิธีการ อุบายๆ มันเกิดจากไหน อุบายมันเกิดจากอำนาจวาสนาบารมีพันธุกรรมของจิต จิตที่มันสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอานั้นเป็นพื้นฐาน อันนั้นเป็นฐานแล้วพยายามแสดงธรรมเข้าไปตรงกับจริตของตัว ถ้าตรงกับจริตของตัวยกขึ้นสู่สิ่งนั้นเพื่อการกระทำ มัน เป็นประโยชน์ เวลาคนมันไม่อับจนมันต้องมีทางออก มีทางออก มันออกไปได้ มันทำไปได้ มันเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น

นี่เราฟังธรรมๆ ก็เพื่อเหตุนี้ เป็นอุบายวิธีการต่างๆ อุบายวิธีการต่างๆ ของครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยประพฤติปฏิบัติมา เราก็ศึกษามาไง ศึกษามาเพื่อเป็นอุบายกับเราไง ทำไมเราไม่มีอุบาย ไม่มีความคิด ไม่มีความแยกแยะ ไม่มีการพลิกอารมณ์ของเราไง มันคิดยังไง มันทำยังไง ก็ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น

เวลาเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา กิริยามันก็ยืนเดินนั่งนอน อิริยาบถ ๔ นี่เวลาบุญนี่บุญกิริยาวัตถุ ยืนเดินนั่งนอนเห็นไหม อิริยาบถ ๔ นี่อิริยาบถ ๔ เราถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลายืนเดินนั่งนอนมันเป็นพื้นฐาน มันเป็นกิริยาในการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มันก็อาศัยยืนเดินนั่งนอนนี้

ฉะนั้น สิ่งที่อิริยาบถนี้เป็นของตายตัว แต่ความคิด ความคิดความรู้สึกนี่ความสามัญสำนึกนี่มันพลิกแพลงได้ เวลามันพลิกแพลงมันพลิกแพลงหัวใจ พลิกแพลงความรู้สึกนึกคิดของเราพลิกแพลงๆ ขึ้นมา แล้วพลิกแพลงขึ้นแล้วทางจงกรมมันเป็นสายทองคำเลย มันเดินด้วยความรื่นเริงเลย แต่ถ้าจิตใจมันหดหู่ จิตใจมันไม่มีปัญญาของมันไป ทางจงกรมนั่นล่ะมันเหมือนกับขวากหนาม มันมีแต่ความทุกข์ระทมทั้งนั้น

แต่เวลามันพลิกแพลงขึ้นมา จิตใจมันพลิกแพลงขึ้นมาทำไมมันรื่นเริงอย่างนั้น ทำไมมันน่ารื่นรมย์ ทำไมชีวิตนี้มันมีค่าขนาดนี้ ทำไมความเป็นไปของเรามันยอดเยี่ยมขนาดนี้ มันมีความคิดเห็นไหม นั่นมันเกิดจากอะไรล่ะ นี่ถ้ามันไม่อับจนเห็นไหม ไม่อับจนปัญญา ถ้ามันไม่อับจนปัญญามันจะเกิดประโยชน์กับจิตดวงนั้น

ใจดวงหนึ่งถ้ามันโดนกิเลสครอบงำอยู่นี่ มีแต่ความมืดมนอนธกาลหาทางออกไม่ได้ ถ้าหาทางออกไม่ได้นะ ถ้ามันไม่มีอำนาจวาสนามีแต่ความทุกข์ระทมในหัวใจนะ แต่ถ้ามีอำนาจวาสนานี่มันพยายามแสวงหาจะหาทางออกนั้น แล้วถ้าคนมีสติปัญญานะ มันจะดิ้นรนหาครูบาอาจารย์ที่น่าเชื่อถือน่าไว้ใจ

จิตใจของคนมันลงเฉพาะไง มันลงเฉพาะที่ว่ามันเคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา หลวงตาท่านใช้ว่า “สายบุญสายกรรม” ถ้ามีสายบุญสายกรรม ฟังสิ่งใดทำสิ่งใดมันเห็นแล้วมันชื่นชม แต่ถ้ามันไม่มีสายบุญสายกรรมขึ้นมานี่ มันจะปีนหัว มันจะเหยียบหัวไป เวลาไปอยู่กับครูบาอาจารย์เห็นไหมก็จะเหยียบย่ำไป ว่าตัวเองมีปัญญา ตัวเองมีความรู้ อาจารย์ของเรานี่พูดซ้ำๆ ซากๆ

ซ้ำๆ ซากๆ นี่พุทโธๆ นี่ก็ซ้ำๆ ซากๆ ซ้ำๆ ซากๆ มันเป็นข้อเท็จจริง ถ้ามันมีข้อเท็จจริงเห็นไหม ข้อเท็จจริงที่มันปฏิบัติขึ้นมามันก็มีความจริงขึ้นมาในหัวใจเห็นไหม ถ้าจิตใจมันมีคุณธรรมนะ มันหาครูบาอาจารย์มาเป็นที่ลงใจ มันชื่นชม มันฟัง มันพยายามแสวงหา มีการกระทำ มันอบอุ่น

เหมือนคนไข้ เหมือนคนป่วยแล้วมีหมอ คนไข้คนป่วยแต่ไม่มีผู้รักษานี่ มันต้องรักษาตัวเองมีแต่ความทุกข์ความยาก ยังคิดว่าดีกว่าหมออีกนะ สั่งให้หมอรักษาตัวเราตามที่เราต้องการนะ แต่เวลาหมอนี่เขาศึกษามา เขามีความรู้เรื่องการรักษาคนไข้ คนไข้อาการเป็นยังไง ถ้ามันเป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่ได้เขาก็รักษาประคองอาการนั้นไป แต่ถ้าโรครักษาได้เขาก็รักษาให้หายขาดไปได้

นั่นล่ะ ครูบาอาจารย์ท่านเคยมีประสบการณ์มีการปฏิบัติมามันเป็นแบบนั้น ถ้าจิตใจของคน จิตใจของเรานี่เห็นไหม เราไม่อับจน เราพยายามหากำลังใจของเรา แล้วหาครูบาอาจารย์ที่ลงใจ ครูบาอาจารย์ที่ลงใจท่านคอยชี้แนะท่านคอยบอกเรา แล้วเรามีการกระทำ เวลาทำไปแล้วเห็นไหม สัจจะคือสัจจะ! มรรคผลคือมรรคผล! จะปฏิบัติอย่างใด จะปฏิบัติแนวทางใด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่เป็นองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้พระพุทธเจ้า ๕ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ตั้งแต่พระกัสสปะ ผ่านมา ๓ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ที่ ๔ พระศรีอริยเมตไตรยองค์ที่ ๕ ข้างหน้าอนาคตก็จะตรัสรู้อย่างนี้ ก็จะตรัสรู้อริยสัจอย่างนี้ เพราะสัจจะความจริงมันเป็นอย่างนี้ ข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้ ข้อเท็จจริงมันเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน

แต่อำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาบารมีของคนไม่เหมือนกัน การปฏิบัติในแนวทางใด การปฏิบัติอย่างใด ผลของมันเป็นอันเดียวกัน ถ้าอันเดียวกันมันมีสิ่งใดๆ สิ่งใดที่มันขัดแย้งกัน มันแตกต่างกันตรงไหน มันแตกต่างกันตรงปฏิบัติ แต่! แต่เวลาปฏิบัติมันปฏิบัติได้จริงหรือเปล่าล่ะ มันมีผลจริงหรือเปล่า

ถ้าไม่มีผลจริง มีผลจริงมันก็... เวลายานี่ ยาที่มันไม่หมดอายุ ยาที่มีคุณภาพเห็นไหม มันต้องรักษาโรคได้เป็นธรรมดา แต่ถ้ายาหมดอายุ ยาเสื่อมสภาพ ยาที่ใช้การไม่ได้ มันก็เป็นยาเหมือนกัน นี้ก็เหมือนกัน เวลากิเลสของเรามันอับจนในตัวมันเองแล้วนะ มันอับจน หัวใจเราอับจนต่อกิเลส เวลากิเลสมันครอบงำแล้วนี่ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ายายังไม่หมดอายุมันก็เป็นความจริงเห็นไหม พอศึกษามาแล้วนี่กิเลสของเราเอง ความอับจนของเราเองทำให้หมดอายุไง

หมดอายุคือว่ามันทำแตกแยกออกไป ทำไม่เหมือนสัจจะความจริงอันนั้น แล้วพอไม่เหมือนสัจจะความจริงอันนั้น แล้วผลมันคืออะไรล่ะ ผลมันก็คือยาหมดอายุ มันไม่มีผลในการปฏิบัติไง มันไม่มีความจริงขึ้นมาไง แต่ถ้าเรายิ่งปฏิบัติไปมันก็ออกนอกลู่นอกทางไป แล้วมันเข้ากันได้เพราะอะไร เข้ากันได้เพราะเรามีกิเลส เรามีความพอใจ เราอยากได้ไง นี่ไงหาครูบาอาจารย์ที่ลงใจ ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่ลงใจอย่างนั้น มันก็เป็นกรรมของสัตว์ ในเมื่อสัตว์มันชอบอย่างนั้นไง สัตว์มันชอบอย่างนั้น

สิ่งใดที่พูดแล้วเราเข้าใจได้ เราชอบ ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงมา “มันธรรมเหนือโลก” ถ้ามันไม่เหนือโลกมันจะแก้กิเลสได้อย่างไง แต่เราอับจนกับกิเลส เพราะเราอับจนกับกิเลส เราถึงยอมรับสิ่งนั้นไม่ได้ ยอมรับสิ่งนั้นไม่ได้แต่ยอมรับความจินตนาการ ยอมรับตรรกะที่สามารถใคร่ครวญได้ มันเป็นภาษาสมมุติ

ถ้าภาษาสมมุติเห็นไหม ดูสิ นิยายธรรมะนี่ เวลาเขาเขียนมาเป็นนิยายธรรมะ เราอ่านแล้วเราซาบซึ้งมาก มันจะมีกิเลสตัณหาทะยานอยากทำลายๆ มาตลอด สุดท้ายแล้วก็จบลงด้วยความรื่นรมย์ ก็มีเท่านั้น! มันเป็นนิยายธรรมะไง นิยายธรรมะมันเข้ากับประโลมโลก เวลาสิ่งที่ประโลมโลกเราสามารถเข้าใจได้นะ เราอ่านหนังสือทางโลกขึ้นมา อ่านไปแล้วเจ็บช้ำน้ำใจ อ่านแล้วรู้สึกบีบคั้น แต่เวลาอ่านหนังสือธรรมะเห็นไหม ถ้าอ่านหนังสือธรรมะ ถ้าทำความเข้าใจแล้วมันจะปลอดโปร่ง แต่มันจืดชืด มันไม่มีการอิจฉาตาร้อน ไม่มีนางอิจฉา ไม่มีการทำลาย มันไม่สนุกเลย แต่ได้อ่านนิยายธรรมะนี่ชอบ เห็นไหม นั่นเพราะอะไรล่ะ เพราะมันเข้ากับกิเลสไง มันเป็นภาษาโลกไง มันไม่เป็นภาษาธรรมไง ยิ่งศึกษายิ่งค้นคว้าไป ยิ่งอับจนๆ อับจนให้กิเลสมันขี่คออยู่อย่างนั้น มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาสักที

แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการนะ หลวงตาท่านบอกว่า ตอนท่านเป็นนักศึกษา เพราะท่านเรียนเป็นมหา ท่านบอกท่านได้ฟังเทศน์สมเด็จฯ องค์ไหนก็ได้ฟังมาทั้งนั้น แล้วเข้าใจหมด เพราะท่านเรียนเป็นมหา เรียนเป็นมหามาก็พูดทางวิชาการ มันเข้าใจทั้งนั้นเพราะเราก็เป็นนักศึกษา เพราะท่านจบมหา ท่านจบมหา แล้วสมเด็จฯ หรือพระฝ่ายปกครองท่านก็ใช้ทางวิชาการเทศนาว่าการ ท่านบอกว่าท่านฟังมาท่านเข้าใจหมดเลย ฟังแล้วซาบซึ้ง

ไปหาหลวงปู่มั่นครั้งแรก หลวงปู่มั่นเทศน์ครั้งแรก ท่านฟังเทศน์แล้วไม่เข้าใจเลย ท่านบอกว่า “ท่านไม่เข้าใจเลย” แต่ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน ด้วยอำนาจวาสนาบอกว่า “เราฟังเทศน์สมเด็จฯ เราก็ฟังมาหมดแล้ว แต่ทำไมเรามาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นที่ท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านไม่มีสมณศักดิ์ใดๆ เลย ทำไมเราฟังแล้วไม่เข้าใจ” ด้วยอำนาจวาสนาของท่านนะ ท่านบอกว่า “เพราะเราไม่ได้ทำความสงบของใจ เพราะเราอ่อนด้อย เราถึงฟังธรรมของพระป่าฟังธรรมของหลวงปู่มั่นแล้วไม่เข้าใจ” จะต้องพยายามปรับพื้นใจของตัว เพื่อพยายามค้นคว้าเพื่อจะทำความเข้าใจกับเทศนาของหลวงปู่มั่นนั้น

ท่านไม่ได้เหยียบย่ำไม่ได้ดูถูกดูแคลนเลย ท่านบอกว่า ท่านฟังเทศน์ของสมเด็จฯ มาแทบทุกองค์ ท่านฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์ที่เป็นอาจารย์สั่งสอนทางวิชาการมาทั้งหมด แล้วฟังแล้วมันเข้าใจได้หมดเลย ภาษาสมมุติ ทั้งๆ ที่เป็นเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้แหละ มันเป็นวิชาการ มันเป็นสมมุติ มันเป็นนิยายธรรมะ

แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ท่านเทศน์ออกมาจากใจของท่าน ท่านเทศน์ออกมาจากสัจจะของท่าน ท่านเทศน์กิริยาของธรรม กิริยาที่เป็นความจริงของท่าน นี่ท่านไปฟังแล้วท่านไม่เข้าใจ ท่านไม่เข้าใจเลย แต่มันเป็นวาสนา วาสนาที่ว่าไม่เข้าใจก็พยายามมาปรับพื้นใจของตัว ไม่ให้ใจนี้อับจนกับกิเลส อับจนว่า เห็นไหม

เวลาการศึกษาเป็นนักศึกษา เวลายังไม่รู้สิ่งใดเลยก็ยังไม่รู้ พอได้นักธรรมโท นักธรรมเอกขึ้นมา ท่านบอกว่า โอ้โฮ กิเลสมันตัวอ้วนๆ เลย ตัวใหญ่ โอย เรามีความรู้ระดับนักธรรมเอกนะ เวลาศึกษาขึ้นมานี่ได้เปรียญธรรมเห็นไหม ได้ประโยคที่ ๑ ประโยคที่ ๒ พอประโยคที่ ๓ โอ๊ย เราเรียนจบจนเป็นมหานะ ท่านบอกเอง นี่เห็นไหม คนที่ไม่อับจนท่านเห็นว่ากิเลสมันยุแหย่อย่างไร กิเลสมันครอบงำหัวใจอย่างไร

นี่มันสร้างเล่ห์กล มันสร้างหลุมพรางหลอกให้ตัวเองไปติดกับไปอับจนกับมัน ท่านบอกท่านปรับใจของท่าน ท่านไม่โทษหลวงปู่มั่น ท่านไม่โทษครูบาอาจารย์ ท่านโทษถึงกิเลสตัณหาความทะยานอยากของท่านว่า “เราฟังเทศน์ของสมเด็จฯ มาหมดเราก็เข้าใจได้ แต่ทำไมวันนี้เรามาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นเราเข้าใจไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของธรรม ไม่ใช่ความผิดของหลวงปู่มั่น เป็นความผิดของเรา เป็นความผิดของเราเพราะเรามันเซ่อ เรามันเซ่อ! เรามันโง่! เรามันโคถึก เราถึงได้ไม่เข้าใจธรรมะอย่างนั้น”

นี่ไง ถ้ามันไม่อับจนมันเป็นอย่างนั้น นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีอำนาจวาสนาท่านคิดของท่านอย่างนี้ แล้วท่านพยายามปรับใจของท่านอย่างนี้ จนสุดท้ายแล้วหลวงปู่มั่นเทศน์เมื่อไหร่ เข้าใจหมด นี่เริ่มเข้าใจ เริ่มปรับสภาพความจริงของใจมันขึ้นมา พอขึ้นมาเห็นไหม ถ้าเป็นสมาธิเราก็เป็นสมาธิ เวลาจิตมันเสื่อม หลวงปู่มั่นท่านสอน

“จิตนี้มันเหมือนเด็กน้อย เด็กน้อยมันอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่มีปัจจัยเครื่องอาศัยมันก็อยู่อาศัยอยู่กับพ่อแม่ เด็กน้อยมันก็ไปเที่ยวเล่นบ้างเป็นธรรมดา เวลามันไปเที่ยวเล่นของมัน เวลามันอับจนขึ้นมา มันหิวกระหายเดี๋ยวมันต้องกลับมาหาพ่อแม่มัน” ฉะนั้น เวลาเราจะรักษาจิตของเราเห็นไหม เรากำหนดพุทโธไว้ๆ เราหาอาหารไว้ เดี๋ยวเด็กน้อยที่มันเที่ยวเล่นออกไป มันขาดอาหารมันจะกลับมาหาอาหารเอง ท่านกำหนดพุทโธๆ

นี่จิตมันเสื่อม นี่ดูจิตๆ จิตเสื่อมมาปีกับ ๖ เดือน ก็ดูจิตนี่แหละ จิตเสื่อมไปปีกับ ๖ เดือนเกือบเป็นเกือบตาย สุดท้ายแล้วเห็นไหม นี่พุทโธๆ อาหารของมัน บริกรรมนี่ อาหารของมันพุทโธๆๆ ท่านบอกท่านก็บริกรรมพุทโธๆ สุดท้ายมันก็ฟื้นขึ้นมา ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เห็นไหม จากที่ว่าฟังเทศน์ทีแรกไม่เข้าใจทั้งนั้นเลย เวลาเทศน์สมเด็จฯ เทศน์เจ้าฟ้าฯ เจ้าคุณฯ นี่ฟังรู้หมด นิยายธรรมะ เป็นความจริงดันไม่รู้ แต่เวลาท่านมาปรับพื้น ความรู้กับความจริงมันเข้ากัน

จากจิตเสื่อม แล้วพยายามรักษา รักษาด้วยคำบริกรรม มันฟื้นฟูมา จิตมันก็กลับมาเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิมันตั้งมั่น เอกัคคตารมณ์จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นจิตก็เป็นเอกัคคตารมณ์ จิตมันก็เป็นจิต กายมันก็เป็นกาย มันเป็นต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างมีคุณภาพขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเราเกิดมาเป็นคน มีกายกับใจๆ แต่เวลาหัวใจกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำเห็นไหม ความคิด ความอ่าน ความรู้สึกแตกแยก ความคิดต่างๆ ศึกษาธรรมะก็เข้าใจบ้าง คัดค้านบ้าง มีความเห็นต่างบ้าง มันยุ่งเหยิงไปกันหมดเลย

เวลามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ปฏิบัติครบ บวชแล้วได้ทำตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนทุกอย่างแล้ว แล้วทำไมมันไม่ได้ผลล่ะ สมาธิก็ไม่ได้ ปัญญาก็ไม่มี ให้ทำยังไงก็ทำแล้ว ก็จะไปเรียกร้องเอาแต่ผล เพราะว่าอะไร เพราะมันเป็นเรื่องโลกไง โลกียปัญญา

แต่เวลาทำตามความจริงขึ้นมา ปรับหัวใจของเราเห็นไหม เด็กน้อยมันต้องมีอาหารของมัน ดูจิตเฉยๆ ก็มีแต่ความเฟ้อฝัน ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิเขามีสติมีปัญญาใคร่ครวญของเขา แต่นี่ถ้ากำหนดพุทโธๆ มันมีพุทธานุสติ “พุทธานุสติ” พุทธะ! พร้อมสติสัมปชัญญะ พุทโธๆๆ ขึ้นมา แต่พวกเราดูถูกกันเหยียดหยามกัน มันเป็นสมถะ มันไม่ใช้ปัญญา แล้วปัญญาล่ะ ปัญญากิเลสมันก็สร้างให้ไง

อับจนกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันอับจนแล้วกิเลสมันยังครอบงำ กิเลสมันยังชักนำไปอีก แล้วยังกลับมาติเตียนข้อเท็จจริงที่มันควรจะเป็นจริงขึ้นมา ให้มันอับจนอยู่กับกิเลสอย่างนั้น แต่ครูบาอาจารย์ท่านมาท่านแก้ไขท่านแยกแยะ พอมันเป็นจริงขึ้นมานี่ เวลาความจริง ความจริงกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันเดียวกัน

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันจะได้มรรคได้ผลตามวุฒิภาวะที่มีความสามารถได้มากได้น้อยแค่ไหน เวลามันเป็นความเป็นจริงขึ้นมา ปฏิบัติธรรมตามข้อเท็จ สัจธรรมที่มันมีอยู่แล้ว นี่ที่ว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม แค่เราเดินไปชนมัน ธรรมะมันมีอยู่แล้ว แค่ไปเปิดตู้มันก็วิ่งเข้าใส่เราแล้ว แล้วมันอยู่ไหนล่ะ

หัวใจตัวเองก็ไม่เคยเห็น แล้วจะเปิดตรงไหน บานประตูอยู่ตรงไหน แล้วใจมันเป็นยังไง ใจมันสีสันยังไง ใจมันมีรูปลักษณะยังไง อยู่ตรงไหนว่ามา อ้าว ก็เวลาพูดพูดอ้างอิงแต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ อ้างอิงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟ้องศาลทางปัญญานี่แพ้หมด เขายึดทรัพย์ ทรัพย์สินทางปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของเอ็ง กล่าวตู่! อับจนแล้วยังขี้โกง มันไม่จริงเลย

แต่ถ้าปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ จิตใจของเรานี่สัตตะผู้ข้อง มันข้องแวะกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราปรับพื้นหัวใจของเรา พุทธานุสติ พุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ อย่าให้มันอับจนกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ให้มันผ่องแผ้ว กำหนดพุทโธพร้อมลมหายใจเข้าออก

เวลาจิตมันสงบไม่ได้ ลมหายใจนั้นมันก็ยังสว่างไสว สว่างไสวนะ ใส ใสเลย เพราะอะไร เพราะจิตมันเกาะอยู่กับลมนั้น มันเห็นลมนั้นใส ถ้าลมนั้นละเอียดไปๆ จนลมนั้น... นี่จิตมันไม่พาดพิงถึงลม ลมมันจะไม่เห็นลม แต่ลมมันยังมีอยู่อย่างนั้น จิตมันมหัศจรรย์กว่านั้น เพราะจิตมันปล่อยเข้ามาเอง

จิตนี้เปรียบเหมือนเด็กน้อยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาศัยอานาปานสติหรือพุทธานุสติ พยายามฝึกฝนตัวเองจนเข้มแข็งเติบโตขึ้นมา จนไม่ต้องอาศัยลม ไม่ต้องอาศัยพุทธานุสติ พุทธานุสติคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะกับสติสัมปชัญญะ แล้วจิตมันเกาะอาศัยไป อาศัยจนมันเติบโตขึ้นมามันปล่อย มันปล่อยพุทธานุสติ มันปล่อยลมหายใจ มันปล่อยทุกๆ อย่างเข้ามาเป็นตัวของมันเอง

มันจะไปอับจนกับใคร มันไม่อับจนกับใคร เพราะมันเป็นความจริงไง “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” พอสมควรแก่ธรรมนั่นเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาถ้าว่าไปเห็นกาย เพราะจิตมันสงบระงับ จิตมันมีเอกัคคตารมณ์ จิตมันตั้งมั่น พอไปเห็นกายมันก็ชัดเจนของมัน ชัดเจนเห็นไหม แล้วว่าชัดเจนนี่วิปัสสนาอ่อนๆ ปัญญาอ่อนๆ ฝึกหัดดัดแปลงแก้ไข อ่อนๆ อ่อนๆ ฝึกหัดไม่ใช่ความจริง! ยัง! ยัง! ยังอีกไกลนัก ฝึกหัด พุทธะเห็นไหม พุทธะ หน่อของพุทธะมันจะเกิดมันจะงอกงาม เวลามันรู้มันเห็นของมัน มันพิจารณา พอมันรู้มันเห็นมันสะเทือนใจ

ดูนะ เราไม่เคยกินอาหารที่สะอาดบริสุทธิ์ เรากินอาหารสารพิษทั้งนั้น มีสารพิษแต่เราไม่รู้ว่าเป็นสารพิษ เรากินกันด้วยความเพลิดเพลินตลอดเวลา แต่เวลาเราไปกินอาหารที่สะอาดบริสุทธิ์ อาหารที่มีคุณภาพ อาหารที่มีคุณประโยชน์กับร่างกาย พอเราไปกินนี่มันแตกต่างกัน คลุกคลีอยู่กับอารมณ์เดิมๆ คลุกคลีอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากให้กิเลสมันครอบงำอับจนกับมันอยู่อย่างนั้น

พอทำความสงบของใจเข้ามา มันเปลี่ยนแปลงเห็นไหม ถ้ามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นตามความเป็นจริง มันไม่ใช่อาหารพิษอย่างที่เราเคยกินเคยใช้อยู่อย่างนั้นหรอก อันนั้นเขาเรียกว่า โลกียปัญญา ปัญญาของโลก โลกคืออะไร โลกคือภวาสวะ โลกคือภพ โลกคือสมุทัย สมุทัยคือตัณหา ๓ ความคิดโดยตัณหา ๓ ความคิดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วบอกว่าอันนั้นเป็นธรรมๆ เอาธรรมมาจากไหน

จิตสงบเข้ามา มันปล่อยตัณหาความทะยานอยากเข้ามา แล้วเวลาจิตสงบแล้วเห็นไหม “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาคือการใช้ปัญญาอ่อนๆ ฝึกหัดค้นคว้าดัดแปลงให้หัวใจเห็นคุณ ให้หัวใจเห็นสัจธรรม มันมีคุณธรรม มันจะเป็นธรรมจักร สัจจะงานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ความชอบธรรมมันอยู่ตรงนี้ มันไม่ใช่อยู่ที่เราคิด เราทำที่ว่าเราทำทุกอย่างเหมือนพระพุทธเจ้าสอนเลย แต่ทำไมมันไม่มีมรรคมีผลล่ะ

เราทำทุกอย่างเหมือนเลย แต่เราทำนั้นเราอับจนกับกิเลสตัณหาทะยานอยาก ทำด้วยความอับจน ทำด้วยความสิ้นคิด คนสิ้นคิด คนอับจน คนไม่มีปัญญา ทำตามนั้นแต่ไม่มีผลตามนั้น แต่เราวางแล้วเราปฏิบัติเห็นไหม ปริยัติแล้วมาปฏิบัติ ปฏิบัติตามความเป็นจริง “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” ไม่ต้องมีคนมาคัดค้านต่อต้าน ปัด ผลักไส มันจะเป็นความจริง เราทำความจริงยังไง มันก็ต้องเป็นความจริงอย่างนั้นขึ้นมา เราทำความจริงมันต้องเอาความจริงขึ้นมากังวานกลางหัวใจ หัวใจนี้จะมีความกังวานขึ้นมาจากสัจจะความจริงเลย เห็นไหม มันไม่อับจนไง มันเป็นความจริงไง

ถ้าความจริงเราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ นี่ที่เรามาฟังเทศน์ๆ ฟังเพื่อเหตุนี้ ฟังเทศน์ขึ้นมาให้เป็นประเด็น ให้มันเป็นสิ่งที่เราเอาคุณธรรม เอาธรรมะข้อใดข้อหนึ่งไปพิจารณาแยกแยะต่อยอดให้เป็นสมบัติของเรา ให้เป็นคุณงามความดีของเรา ให้เป็นประโยชน์กับเรา เราถึงจะไม่อับจนกับกิเลส เราจะมีความผ่องแผ้ว มีความสุขมีความระงับในหัวใจของเรา เอวัง